คาสิโนออนไลน์ UFABET
ปัญหาการเหยียดสีผิวของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อไม่นานมานี้ ในเกมที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องปะทะฝีเท้ากับเชลซีในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ จังหวะที่ราฮีม สเตอร์ลิ่งไปเก็บบอลที่ข้างสนาม คำพูดเหยียดหยามเรื่องชาติพันธุ์ของเขา ก็ถูกเป่าออกมาจากแฟนสิงโตน้ำเงินคราม 4 นาย มันเหมือนตลกร้าย ที่นักเตะผิวสีหลายต่อหลายคนโดนกระทำแบบนี้อยู่เสมอ
มันคือปัญหาของวงการฟุตบอลทั่วยุโรปเลยก็ว่าได้ ที่ความเลวร้ายในเรื่องการดูถูกเหยียดหยามเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกเรา เหล่าคนเอเชีย ที่บางคนมีโอกาสและความสามารถไปถึงระดับนักฟุตบอลสโมสรยุโรป จะโดนดูถูกอยู่เสมอในเรื่องสีผิว มันดูเหมือนว่าปัญหาเหล่านี้จะหายไปนาน และผู้คนผ่านการใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งถูกผิดมากขึ้นแล้ว แต่อันที่จริง สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่กับวงการฟุตบอลทั่วยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ แต่สื่อและโซเชี่ยลมีเดียอาจไม่ได้หยิบยกมันขึ้นมาเพื่อมองหาเสียงตอบรับและความยุติธรรมที่ควรเกิดขึ้น
เพลงเชียร์ต่างๆที่ขับร้องออกมานั้น ก็ยังคงมีหลายเพลงที่ถูกร้องตะโดนดังลั่น เป็นข้อความถึงการหยามเกียรติคนผิวสี แต่จะให้ทำยังในเมื่อการแก้ไขอย่างจริงจังไม่เคยเกิดขึ้น นั่นทำให้ภาระต้องตกไปที่ตัวนักเตะเอง ที่ต้องใช้ทั้งความอดทนทั้งในและนอกสนาม เสียงสะท้อนที่ชัดเจนที่สุด ของบุคคลระดับตำนานที่โดนมาแล้วทุกรูปแบบอย่างจอห์น บาร์นส หนึ่งในตำนานลิเวอร์พูลยุค 80-90 นักเตะอัจฉริยะเสื้อสายจาไมก้า เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาต้องเผชิญในยุคนั้น
“พวกนักเตะผิวสีอย่างผม โดนร้องเพลงเหยียดสีผิวใส่ต่อหน้า โดนปากล้วยใส่เกือบทุกครั้งที่ลงสนาม แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันกลายเป็นเหมือนเรื่องธรรมดาในยุคนั้น ไม่ได้มีใครมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งนั่นจึงทำให้พวกเราต้องยอมรับมันแบบไม่เต็มใจ”
ด้วยความที่ผู้คนในยุคนั้น ไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องเลวร้ายประเภทนี้ เหตุการณ์แย่ๆ จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คงเพราะทุกคนพยายามกวาดเอาความเลวร้ายซุกเอาไว้ใต้พรม
“ผู้จัดการทีมหรือโค้ชที่เป็นคนผิวสี จะได้รับโอกาสในการคุมทีมน้อยกว่าผู้จัดการผิวขาวครึ่งหนึ่งเสมอ หากคนผิวขาวได้โอกาสคุมทีม 10 นัด นั่นหมายถึง คนผิวสีจะมีโอกาสคุมทีมแค่เพียง 5 นัดเท่านั้น ก่อนที่สโมสรจะพิจารณาผลงาน”
จอห์น บาร์นส อธิบายถึงภาพความเป็นจริงในยุคนั้นอย่างชัดเจน ความไม่เท่าเทียมกันที่พวกเขาได้รับ มันเหมือนกับสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่พวกเขาลืมตา ซึ่งนั่นมันเป็นเรื่องที่แย่มาก ที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาผิวสีในอังกฤษ แต่บาร์นสก็ยอมรับ ว่าสุดท้าย เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สิ่งที่ทำได้ แค่เพียงยิ้มสู้และเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น
และถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปร่วมทศวรรษ แต่ความคิดเลวร้ายที่ฝังอยู่ในหัวหลายๆคนก็ยังคงเติบโตมาถึงปัจจุบัน ก็คงหวังสักวัน ว่าเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นแบบนี้ จะคลี่คลาย และหายไปจากทุกวงการได้จริงๆ
ติดตามข่าวฟุตบอลดีๆ อัพเดตทุกวันได้ที่ คาสิโนออนไลน์ UFABET
มันคือปัญหาของวงการฟุตบอลทั่วยุโรปเลยก็ว่าได้ ที่ความเลวร้ายในเรื่องการดูถูกเหยียดหยามเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกเรา เหล่าคนเอเชีย ที่บางคนมีโอกาสและความสามารถไปถึงระดับนักฟุตบอลสโมสรยุโรป จะโดนดูถูกอยู่เสมอในเรื่องสีผิว มันดูเหมือนว่าปัญหาเหล่านี้จะหายไปนาน และผู้คนผ่านการใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งถูกผิดมากขึ้นแล้ว แต่อันที่จริง สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่กับวงการฟุตบอลทั่วยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ แต่สื่อและโซเชี่ยลมีเดียอาจไม่ได้หยิบยกมันขึ้นมาเพื่อมองหาเสียงตอบรับและความยุติธรรมที่ควรเกิดขึ้น
เพลงเชียร์ต่างๆที่ขับร้องออกมานั้น ก็ยังคงมีหลายเพลงที่ถูกร้องตะโดนดังลั่น เป็นข้อความถึงการหยามเกียรติคนผิวสี แต่จะให้ทำยังในเมื่อการแก้ไขอย่างจริงจังไม่เคยเกิดขึ้น นั่นทำให้ภาระต้องตกไปที่ตัวนักเตะเอง ที่ต้องใช้ทั้งความอดทนทั้งในและนอกสนาม เสียงสะท้อนที่ชัดเจนที่สุด ของบุคคลระดับตำนานที่โดนมาแล้วทุกรูปแบบอย่างจอห์น บาร์นส หนึ่งในตำนานลิเวอร์พูลยุค 80-90 นักเตะอัจฉริยะเสื้อสายจาไมก้า เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาต้องเผชิญในยุคนั้น
“พวกนักเตะผิวสีอย่างผม โดนร้องเพลงเหยียดสีผิวใส่ต่อหน้า โดนปากล้วยใส่เกือบทุกครั้งที่ลงสนาม แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันกลายเป็นเหมือนเรื่องธรรมดาในยุคนั้น ไม่ได้มีใครมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งนั่นจึงทำให้พวกเราต้องยอมรับมันแบบไม่เต็มใจ”
ด้วยความที่ผู้คนในยุคนั้น ไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องเลวร้ายประเภทนี้ เหตุการณ์แย่ๆ จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คงเพราะทุกคนพยายามกวาดเอาความเลวร้ายซุกเอาไว้ใต้พรม
“ผู้จัดการทีมหรือโค้ชที่เป็นคนผิวสี จะได้รับโอกาสในการคุมทีมน้อยกว่าผู้จัดการผิวขาวครึ่งหนึ่งเสมอ หากคนผิวขาวได้โอกาสคุมทีม 10 นัด นั่นหมายถึง คนผิวสีจะมีโอกาสคุมทีมแค่เพียง 5 นัดเท่านั้น ก่อนที่สโมสรจะพิจารณาผลงาน”
จอห์น บาร์นส อธิบายถึงภาพความเป็นจริงในยุคนั้นอย่างชัดเจน ความไม่เท่าเทียมกันที่พวกเขาได้รับ มันเหมือนกับสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่พวกเขาลืมตา ซึ่งนั่นมันเป็นเรื่องที่แย่มาก ที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาผิวสีในอังกฤษ แต่บาร์นสก็ยอมรับ ว่าสุดท้าย เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สิ่งที่ทำได้ แค่เพียงยิ้มสู้และเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น
และถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปร่วมทศวรรษ แต่ความคิดเลวร้ายที่ฝังอยู่ในหัวหลายๆคนก็ยังคงเติบโตมาถึงปัจจุบัน ก็คงหวังสักวัน ว่าเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นแบบนี้ จะคลี่คลาย และหายไปจากทุกวงการได้จริงๆ
ติดตามข่าวฟุตบอลดีๆ อัพเดตทุกวันได้ที่ คาสิโนออนไลน์ UFABET
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น